วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2556

กลยุทธ์ธุรกิจ

กลยุทธ์ธุรกิจ

          หมายถึงการกำหนดวิสัยทัศน์ (Vision) พันธกิจ (Mission) วัตถุประสงค์ (Objective) เป้าหมาย (Goal) ขององค์การในระยะสั้นและระยะยาว จากนั้นจึงวางแผนทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อให้องค์การสามารถดำเนินงานตามพันธกิจ  อันนำไปสู่การบรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กำหนดไว้ 

          นอกจากนี้เนื่องจากสภาพแวดล้อมทางธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา  ซึ่งอาจก่อให้เกิดโอกาส  หรืออุปสรรคแก่องค์การได้  องค์การจึงจำเป็นต้องพิจารณาสภาพแวดล้อมภายในขององค์การ  เพื่อหาจุดแข็งหรือจุดอ่อนในการที่จะสามารถหลีกเลี่ยงจากอุปสรรคหรือใช้ประโยชน์จากโอกาสที่มีอยู่นั้นได้  ดังนั้นการจัดการเชิงกลยุทธ์จึงเป็นการบริหารโดยคำนึงถึง 

1. ลักษณะการดำเนินงานขององค์การ 
2. ลักษณะธุรกิจในอนาคต
3. สภาพแวดล้อม 
4. การจัดสรรทรัพยากร 
5. การปฏิบัติงานให้บรรลุผลตามวัตถุประสงค์ 


แนวคิดที่สำคัญในการจัดการเชิงกลยุทธ์

          แนวคิดพื้นฐานที่สำคัญของการจัดการเชิงกลยุทธ์ คือการกำหนดภารกิจ  วัตถุประสงค์และเป้าหมายของกิจการทั้งในระยะสั้นและระยะยาว  โดยการจัดการเชิงกลยุทธ์และการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์จะมีผลต่อการดำเนินงานในระยะยาว 

          ดังนั้นองค์การจึงต้องมีการวางแผนการทำกิจกรรมต่าง ๆ  เพื่อให้การดำเนินงานตามภารกิจบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้  ทั้งนี้เพื่อให้ตอบสนองต่อกระแสการเปลี่ยนแปลง  ซึ่งอาจจะเป็นอุปสรรคและบดบังโอกาสในการก้าวหน้าขององค์การได้ 

          ฉะนั้นองค์การจึงต้องพิจารณาถึงจุดแข็งที่มีอยู่แล้วนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์  และพิจารณาถึงจุดอ่อนขององค์การเพื่อหาแนวทางขจัดจุดอ่อนเหล่านั้นเสีย
ในแนวคิดด้านการจัดการเชิงกลยุทธ์นั้น จะมีความแตกต่างไปจากการจัดการโดยทั่วไป ซึ่งมักจะศึกษาถึงบทบาทหน้าที่ของผู้บริหาร  ตามกระบวนการหรือขั้นตอนต่าง ๆและเน้นหนักไปที่การจัดการและการบริหารภายในองค์การ  แต่การจัดการเชิงกลยุทธ์จะให้ความสำคัญกับปัจจัยต่าง ๆ โดยเฉพาะปัจจัยภายนอกองค์การ  หรือสภาวะแวดล้อมภายนอกด้านต่าง ๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการแข่งขัน  คำนึงถึงการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในระยะยาว  และสภาวะการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรม 


          การจัดการกลยุทธ์ยังคำนึงถึงความความสำคัญของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับองค์การ (Stakeholders) และการจัดการเชิงกลยุทธ์ยังทำหน้าที่ในการเชื่อมโยงประสานหน่วยต่าง ๆ ในองค์การให้สามารถบริหารจัดการเพื่อบรรลุเป้าหมายขององค์การร่วมกัน

หลักการสำคัญของการจัดการเชิงกลยุทธ์

          การจัดการเชิงกลยุทธ์จะนำไปสู่การเพิ่มโอกาสของความสำเร็จและความล้มเหลวขององค์การได้อย่างไรนั้นมีหลักสำคัญดังนี้

          1. การจัดการเชิงกลยุทธ์เป็นการกำหนดวิสัยทัศน์ ทิศทาง ภารกิจ และวัตถุประสงค์ขององค์การธุรกิจอย่างเป็นระบบ  ดังนั้นการจัดการเชิงกลยุทธ์จึงเป็นสิ่งที่กำหนดทิศทางขององค์การ  และช่วยให้นักบริหารปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม  การตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงนั้น  ทำให้นักบริหารสามารถกำหนดวัตถุประสงค์และทิศทางการดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรม  สอดคล้องกับสภาวะความเปลี่ยนแปลงได้ 

          2. การจัดการเชิงกลยุทธ์ยังนำไปสู่การจัดการความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น  เนื่องจากมีการเตรียมรับกับสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงไว้แล้ว  ทำให้องค์การค้นหาแนวทางที่เหมาะสมที่สุดต่อองค์การ  ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยต่าง ๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้อง  ทั้งนี้เนื่องจากการจัดการเชิงกลยุทธ์เป็นการกำหนดวิธีการหรือแนวทางในการดำเนินงานและกิจกรรมต่าง ๆ ขององค์การ  เพื่อให้บรรลุเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ขององค์การที่ตั้งไว้

          3. การจัดการเชิงกลยุทธ์เป็นการนำแนวทางในการดำเนินองค์การที่คิดค้นสร้างสรรค์ขึ้น  และนำมาประยุกต์ใช้เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย  ดังนั้นความคิดสร้างสรรค์จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับนักบริหาร

          4. การวางแผนกลยุทธ์เป็นหน้าที่หลักของนักบริหาร  เนื่องจากต้องวางแผนประยุกต์ใช้  และกำหนดทิศทางในการดำเนินงานขององค์การ  การจัดทำและปฏิบัติให้สอดคล้องตามแผนกลยุทธ์จึงมีความสำคัญโดยเฉพาะในระยะยาว  ดังนั้นความสามารถในการกำหนดกลยุทธ์ของนักบริหาร  และความสามารถในการควบคุมให้การปฏิบัติเป็นไปตามกลยุทธ์ที่วางไว้ได้  จะเป็นสิ่งสะท้อนศักยภาพและและสะท้อนของผู้บริหารได้เป็นอย่างดี

          5. การจัดการเชิงกลยุทธ์ทำให้เกิดความได้เปรียบในการแข่งขัน จะช่วยสร้างประสิทธิภาพและศักยภาพในการแข่งขันให้แก่ธุรกิจ  และเสริมสร้างการพัฒนาขีดความสามารถทางการบริหารของนักบริหาร  รวมทั้งช่วยเตรียมความพร้อมและพัฒนาบุคลากรที่อยู่ภายในองค์การ  เนื่องจากการพัฒนาเชิงกลยุทธ์จะต้องมีการสร้างความเข้าใจและแนวทางในการเตรียมพร้อม  เพื่อรับกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นของสภาพแวดล้อมและคู่แข่ง  นอกจากนี้แล้วการจัดการเชิงกลยุทธ์ยังช่วยให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในองค์การเข้าใจในภาพรวม  โดยเฉพาะเป้าหมายในการดำเนินงานทำให้สามารถจัดลำดับการดำเนินงานตามลำดับความสำคัญเร่งด่วนได้

          6. การจัดการเชิงกลยุทธ์ช่วยให้การทำงานเกิดความสอดคล้องในการปฏิบัติหน้าที่  เนื่องจากมีการกำหนดกลยุทธ์  การประยุกต์ใช้  และการตรวจสอบควบคุมไว้อย่างชัดเจน  ทำให้เกิดความเข้าใจตรงกันและเกิดความร่วมมือ  โดยเฉพาะความเข้าใจในวัตถุประสงค์ขององค์การ  อีกทั้งจะช่วยให้มีการจัดสรรทรัพยากรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสอดคล้องกับการบริหารองค์การในส่วนต่าง ๆ

องค์ประกอบของการจัดการเชิงกลยุทธ์ 
การจัดการเชิงกลยุทธ์ ประกอบด้วยองค์ประกอบย่อยพื้นฐาน 5 ประการ คือ
1. การกำหนดทิศทาง (Direction Setting)
2. การประเมินองค์การและสภาพแวดล้อม (Environment Scanning) 
3. การกำหนดกลยุทธ์ (Strategy Formulation) 
4. การดำเนินกลยุทธ์ (Strategy Implementation) 

5. การประเมินผลและการควบคุม (Evaluation and Control) 
ที่มาของข้อมูล : (http://www.aircadetwing.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=5376485&Ntype=4)

องค์การต้องการกำหนดกลยุทธ์ธุรกิจ  องค์การควรที่จะคำนึงถึงกลยุทธ์ใน 5 องค์ประกอบหลักๆ ดังนี้

1. ความสามารถหลักขององค์การหรือความสามารถที่องค์การต้องการจะมี

    ความสามารถหลัก (Core competency) คือ สิ่งที่องค์การสามารถทำได้ดีที่สุด และมีหลักการ 3 ประการได้แก่ 1) ต้องให้ประโยชน์ต่อลูกค้า  2) ยากต่อคู่แข่งที่จะเลียนแบบ และ 3) เป็นความสามารถที่สามารโยกไปสู่สินค้าอื่นๆ หรือตลาดอื่นๆ ได้ดีด้วย

    นอกจากนี้ ความสามารถหลักยังมาได้ในหลายรูปแบบด้วยค่ะ เช่น ความสามารถทางเทคนิค  ความเชี่ยวชาญ  กระบวนการที่น่าเชื่อถือ หรือความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นกับลูกค้าและคู่ค้า  รวมทั้งยังรวมไปถึง การพัฒนาผลิตภัณฑ์  หรือวัฒนธรรมองค์กร ได้ด้วย

ตัวอย่างเช่น ซีพีผลิตสินค้าอาหารเกษตรและอาหารสัตว์โดยเฉพาะไก่และกุ้ง  ที่มีกระบวนการเลี้ยงดู ผลิต แปรรูป และการตลาดที่เฉพาะเจาะจง ในราคาไม่แพง ยากที่บริษัทอื่นๆ จะเลียนแบบได้ และมีความสัมพันธ์อันดีต่อทั้งภาคราชการและธุรกิจที่แน่นแฟ้น  หรือ บริษัทแอ๊ปเปิ้ล ที่มีความสามารถหลักในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เทคโนโลยี ที่มีดีไซน์ ใช้งานง่าย และล้ำยุค เช่น คอมพิวเตอร์ McIntosh, IPod, IPhone หรือ Southwest Airline สายการบินต้นทุนต่ำของอเมริกา ที่มีความสามารถหลัก 4 ด้าน ได้แก่ 1) ต้นทุนการจัดการต่อเที่ยวบินที่ต่ำ 2) มีเครือข่ายสนามบินจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่งที่ค่าใช้จ่ายการขนถ่ายไม่แพง 3) มีวัฒนธรรมองค์ที่มุ่งให้บริการลูกค้าและการประหยัดต้นทุนเป็นหลัก 4) มีความสามารถในการปล่อยเที่ยวบินได้มากกว่าคู่แข่ง (เครื่องบินอยู่บนอากาศเร็วแค่ไหน ก็มีรายได้เข้ามามากเท่านั้น) เป็นต้น


2. คำอธิบายความแตกต่างจากคู่แข่งขององค์การ

   การสร้างความแตกต่าง (Differentiate) ในความหมายของกลยุทธ์การบริหารจัดการ หมายถึง การเป็นที่หนึ่ง  เป็นผู้นำ  หรือทำอะไรที่ดีที่สุดเหนือกว่าคู่แข่ง  ทำอย่างไรให้ลูกค้าพึงพอใจที่จะเลือกเรามากกว่าคู่แข่ง

   ซึ่งองค์การจะต้องระดมสมองและลองปรึกษากันดูว่า "อะไร" กันแน่ที่จะช่วยให้องค์การสามารถสร้างความแตกต่างได้เหนือกว่า  และอาจจะใช้เวลานานกว่าจะหาเจอนะคะ

ตัวอย่างเช่น  ชาเขียวโออิชิ (โออิชิกรีนที) ที่มีรสชาดหวาน  มีกลิ่นและรูปแบบการดื่ม (เย็น - ไม่ได้ดื่มแบบชาเขียวร้อนทั่วไป) และบรรจุขวดเป็นเจ้าแรกๆ ของประเทศไทย   จักรยานแบบพับได้  ที่สามารถพับใส่ในท้ายรถยนต์ได้ ราคาไม่แพง  สร้างความสะดวกแก่ผู้บริโภคที่ต้องการนำจักรยานไปสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ  หรือ ทัวร์เที่ยวไทยที่รวมการทำฟัน มาเป็นจุดเด่นและสร้างความแตกต่างแบบสร้างสรรค์  ขายให้แก่นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นและเอเชีย ที่ต้องการมาเที่ยวประเทศไทยและจัดให้นักท่องเที่ยวได้มาทำฟันที่มีคุณภาพดี ราคาประหยัด เป็นต้น


3. องค์การอยู่ในอุตสาหกรรมใดหรือกลุ่มอุตสาหกรรมใด

    องค์การควรจะกำหนดและจำแนกให้ได้ว่า จะจัดตัวเองอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมใด (Industry Intension) เช่น อุตสาหกรรมเครื่องเขียน  กลุ่มอุตสาหกรรมบริการ  ทำเทรนนิ่งและให้คำปรึกษา  อุตสาหกรรมซอฟแวร์และไอที  อุตสาหกรรมรถยนต์ หรือท่องเที่ยว  ซึ่งควรจะจำกัดให้แคบและชัดเจนที่สุด

    กลยุทธ์ธุรกิจที่ดีนั้น  หากทราบว่าองค์การจัดอยู่ในธุรกิจ/อุตสาหกรรม/กลุ่มอุตสาหกรรมใดแล้ว  การวางแผนกลยุทธ์ในเวลาต่อมาจะเป็นเรื่องที่ไม่ยากเลย  นอกจากนี้ยังพบว่า องค์การที่มีกลยุทธ์ที่ดี  จะสามารถตอบคำถามได้ทันทีว่าตนเองอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมใด

ตัวอย่างเช่น  องค์การอยู่ในกลุ่มธุรกิจจัดสวน เน้นเฉพาะในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (กำหนดให้แคบลง)  เมื่อแคบลงเช่นนี้ ต่อมาจะสามารถวางแผนกลยุทธ์ธุรกิจในเรื่องของ  กลยุทธ์ผู้บริโภค ( เป็น niche มั๊ย, จะเจาะกลุ่มไหน)  กลยุทธ์การตั้งราคา (ตามพื้นที่, ตามดีไซน์, หรืออะไร) กลยุทธ์การวางตำแหน่งองค์การ (รับจัดสวนอย่างเดียว, รับออกแบบอย่างเดียว, รับออกแบบและจัดสวนให้ด้วย, หรืออื่นๆ) เป็นต้น  ดังนั้น ยิ่งกำหนดได้แคบเท่าไหร่  จะช่วยให้สามารถวางแผนในรายละเอียดได้ชัดเจน และทำได้จริงมากขึ้น


4. องค์การเตรียมวางแผนในเรื่อง การตลาด  การปฏิบัติการ  ไอที  การเงิน  และการพัฒนาองค์การ ตั้งแต่เริ่มต้น

   ซึ่งจะช่วยในการวางแผนเผื่ออนาคตไปได้อีกหลายๆ ปี และช่วยในการสร้างเป็นแผนกลยุทธ์และแผนการดำเนินงานโดยละเอียดได้

   การคิดเรื่องนี้ จะช่วยชี้แนะแนวทางการใช้ทรัพยากรและทุน  และการคิดวางแผนในแต่ละด้านอย่างละเอียด(และสามารถทำได้จริง) ก็จะช่วยให้ธุรกิจสามารถอยู่รอดได้อย่างมั่นคงท่ามกลางกระแสเศรษฐกิจที่ผันผวนได้เป็นอย่างดี

5. ประเมินแนวโน้มแผนการเงิน ว่าจะวางแผนอย่างไรในอนาคต 3-5 ปีข้างหน้า

   ยิ่งถ้ามีหุ้นส่วนเยอะๆ ก็ยิ่งจำเป็นจะต้องวางแผนการใช้จ่ายเงินทุนให้มีประสิทธิภาพสูงที่สุดด้วย

   การวางแผนกลยุทธ์ธุรกิจโดยรวม จะต้องคำนึงถึงแผนการเงินประจำปีเอาไว้ด้วย  เพื่อควบคุมการใช้จ่ายให้อยู่ภายในงบประมาณที่กำหนด  ไม่ใช้จ่ายในสิ่งที่ไม่ได้วางแผนเอาไว้ หรือจ่ายฟุ่มเฟือยในเรื่องอื่นๆ ที่ยังไม่จำเป็นต่อธุรกิจในระยะแรก

   ถ้าหากจำเป็นจะต้องมีที่ปรึกษาด้านการเงิน (และบัญชี) ก็ต้องจัดหาบุคคลที่มีความรู้ความสามารถทางด้านนี้โดยตรงที่เข้มงวดและให้คำแนะนำที่ดีได้  หรือจ้างบริษัทที่ปรึกษาทางการเงินมืออาชีพ  เพื่อช่วยให้องค์การสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างโปร่งใส สมดุล และอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
ที่มาของข้อมูล : (www.realresultsmarketing.com)



ที่มาของรูปภาพ : (http://www.thaismefranchise.com/)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น